“วันมหิดล” คณะแพทยศาสตร์ น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก 91 ปีวันคล้ายวันสวรรคต

วันนี้( 24 ก.ย.) เป็นวันคล้ายวันสวรรคต ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดช วิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดกิจกรรม “วันมหิดล ประจำปีพุทธศักราช 2563”  ขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก โดยมีรศ.นพ.อภิชาติ จิระวุฒิพงศ์  คณบดีคณะแพทยศาสตร์ พร้อมผู้บริหาร  คณาจารย์  แพทย์  พยาบาล  บุคลากรทางด้านสาธารณสุข นักศึกษา  และประชาชน  ร่วมถวายพวงมาลาเครื่องสักการะ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์  หน้าโรงพยาบาลศรีนครินทร์

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 69  ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงพระราชสมภพ  เมื่อวันศุกร์  ขึ้น 3 ค่ำ  เดือนยี่  ปีเถาะ ตรงกับวันที่  1  มกราคม  พุทธศักราช  2435พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระราชธิดา และพระราชโอรส  3  พระองค์  คือ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา  กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์  ได้เสด็จไปศึกษาต่อระดับมัธยม  ณ  ประเทศอังกฤษ และศึกษาวิชาทหาร ณ ประเทศเยอรมัน หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาวิชาทหารแล้ว  ได้เข้ารับราชการในกองทัพเรือ
ในส่วนงานการแพทย์และสาธารณสุขนั้น เริ่มจากการทรงทราบถึงปัญหาสภาพ ความยากลำบากของประชาชนที่เจ็บป่วย การขาดแคลนแพทย์และปัญหาการจัดการศึกษาของโรงเรียนแพทย์  จึงทรงตัดสินพระทัยศึกษาเพิ่มเติมวิชาแพทย์และสาธารณสุข โดยเสด็จไปทรงศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์  ณ  มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดซึ่งระหว่างที่ทรงศึกษา  อยู่ในสถาบันการศึกษานี้  ได้ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจาทำความตกลง   กับมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์เพื่อขอรับทุนสนับสนุนปรับปรุงโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาล   ในประเทศไทยเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล

พระองค์ทรงเป็นแพทย์ที่เป็นแบบอย่างของครูที่ดีเยี่ยม เปี่ยมด้วยพระจริยวัตรที่งดงามกอปรด้วยพระเมตตาธรรม ตระหนักถึงความสำคัญของการพยาบาล  และการสาธารณสุข ว่าเป็นสาขาวิชาที่สำคัญควบคู่กับวิชาชีพแพทย์ ดังที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้เป็นทุนการศึกษา  วิจัย  รวมถึงการสร้างอาคาร ดังปรากฏพระเกียรติคุณ          เป็นที่ประจักษ์ แก่มวลศิษย์และปวงพสกนิกรไทยอย่างเด่นชัด

ตลอดพระชนม์ชีพแห่งองค์สมเด็จพระบรมราชชนก ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าทรงมีพระทัยมุ่งมั่น  แน่วแน่  และทุ่มเทในการสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ  และประชาชน โดยทรงดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการ ทั้งด้านวิชาชีพแพทย์  การสาธารณสุข และการศึกษาทรงประกอบพระราชกรณียกิจอย่างมิได้ทรงพักผ่อนทรงตรากตรำพระวรกาย ที่สุดก็ทรงพ่ายแพ้แก่พยาธิภัย  เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อวันที่  24  กันยายน  พุทธศักราช 2472  รวมพระชนมายุ  37  พรรษา  8  เดือน 23 วันนำมาซึ่งโศกาดูรจากปวงประชาราษฎร์   อันมิอาจพรรณนาได้

ด้วยพระเกียรติคุณและพระมหากรุณาธิคุณอย่างอเนกอนันต์ โดยเฉพาะในการวางรากฐานและพัฒนากิจการด้านการแพทย์  การพยาบาล  และการสาธารณสุข  ให้มีความเจริญรุดหน้าทัดเทียมอารยประเทศสืบมาจวบจนปัจจุบัน คณะแพทย์  พยาบาล  และบุคลากรทางการสาธารณสุขจึงพร้อมใจกันถวายพระสมัญญานามแด่พระองค์ว่า  “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย” พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 24 กันยายน ของทุกปี เป็น “วันมหิดล” เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข พสกนิกรชาวไทย  ได้น้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณ  พระเมตตาคุณแห่งพระองค์สืบไป

Scroll to Top